150,000฿

เป้าหมาย

521

ผู้บริจาค

81% บริจาคแล้ว

121,520฿

ระดับที่ 3 เป้าหมาย

บริจาค

สนับสนุนโครงการโดยครูของมูลนิธิ Teach for Thailand

Teach For Thailand Foundation

ทุก 750 บาท ช่วยเปิดโลกการเรียนรู้ให้กับนักเรียนที่ขาดโอกาสทางสังคม

คำอธิบาย
กิจกรรม

อะไรคือ Teach For Thailand?
Teach for Thailand สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจและเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของเรา มาเข้าร่วมโครงการ Leadership Development Program ที่คัดเลือกผู้ที่มีความสามารถ และคุณสมบัติการเป็นผู้นำ เพื่อไปทำหน้าที่ครูที่สร้างแรงจูงใจให้กับเด็กในห้องเรียนเป็นเวลา 2 ปี และเป็นพลังสำคัญในการสร้างความเท่าเทียมทางการศึกษาให้กับสังคมไทยตลอดไป

เกี่ยวกับกองทุน Teach For Thailand

จุดประสงค์หลักของกองทุน Teach For Thailand คือการสนับสนุนโครงการต่างๆที่ริเริ่มโดยครูของมูลนิธิ Teach For Thailand ที่เป็นโครงการเพื่อนักเรียนและชุมชน

เงินบริจาคของคุณจะไปช่วยในส่วน:

ทุก 750 บาท จะไปช่วยการเปิดโลกการเรียนรู้ให้กับนักเรียนที่ขาดโอกาสทางสังคม

เงินบริจาคทุกบาทช่วยสนับสนุนกิจกรรมของคุณครูของ Teach for Thailand ให้เกิดขึ้น เพื่อสนับสนุนให้น้องๆได้มีเป้าหมายในชีวิต และไม่สามารถเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนในห้องเรียนกับเป้าหมายของตัวเองได้

ข้อมูลเพิ่มเติม
www.facebook.com/TeachForThailand
www.teachforthailand.org

ตอนนี้เรากำลังระดมทุนให้กับโครงการ #3 “Long Do ลองดู Camp” ภายใต้ Teach for Thailand ค่ะ คุณสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนโครงการนี้ผ่านการบริจาคเงินผ่าน Socialgiver ค่ะ ในระหว่างนี้เราจะอัพเดตเกี่ยวกับโครงการเรื่อยๆนะคะ!

UPDATE: รายงานการสร้างความเปลี่ยนแปลงของโครงการ “Long Do ลองดู Camp” (ตุลาคม 2559)

เพราะปัญหาของเด็กไทยในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องเนื้อหาความรู้ แต่คือความรักในการเรียนรู้ การมองอุปสรรคเป็นโอกาสเรียนรู้ การให้คุณค่ากับความพยายาม และการเชื่อมั่นในการพัฒนาศักยภาพตน ซึ่งเด็กๆ จะมีคุณลักษณะนี้เกิดขึ้นได้หากมี “กรอบความคิดแบบเติบโต” (Growth mindset)

ค่าย Long Dos ครั้งที่ผ่านมาเกิดขึ้นจากความริเริ่มของครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง ทีช ฟอร์ ไทยแลนด์ และ Growth Mindset ที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 90 % ของเด็กๆ ได้จุดประกายความเป็นไปได้และเป็นที่มาของการเปิดค่าย “ฝึกอบรมพัฒนาความคิดแบบเติบโต 2” หรือ Long Dos 2 ซึ่งเกิดขึ้นจากพลังความร่วมมือของครูทีช ฟอร์ ไทยแลนด์ รุ่น 2 และ 3 จำนวน 19 คน ที่ตั้งใจส่งเสริมให้เด็กๆ มี Growth Mindset สามารถหาวิธีจัดการกับอุปสรรค รวมทั้งให้นักเรียนรู้จักตนเองมากขึ้นผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ และเปิดโลกทัศน์ด้านอาชีพ อันนำไปสู่การตั้งเป้าหมายในอนาคต โดยหลังจากจบค่ายในวันนี้จะมีการเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องหนึ่งเทอมการศึกษา (1 พฤศจิกายน 2560 – 30 มีนาคม 2561)

เด็กนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และปีที่ 3 จํานวน 43 คน จากโรงเรียนขยายโอกาส 13 แห่งในเขต กทม. ที่มาเข้าค่ายเมื่อวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้ลองทำกิจกรรมที่กระตุ้นกรอบความคิดแบบเติบโต ซึ่งทีมงานครูทีชฯ ได้วางแผนมาอย่างดีตลอดสองเดือนเต็ม นักเดินทางน้อยเริ่มออกเดินทางจากสำนักงานมูลนิธิ ทีช ฟอร์ ไทยแลนด์ ไปยังจุดต่างๆ เพื่อทำ “หกภารกิจ” สุดท้าทาย ที่สวนลุมพินี จามจุรีสแควร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

งานนี้เด็ก ๆ ทั้งเดินเท้า โดยสารรถไฟฟ้า MRT และ BTS ซึ่งสำหรับเด็ก ๆ ส่วนมากแล้ว นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาได้ใช้บริการ MRT และ BTS

ภารกิจ 1 หาสถานที่ที่ตรงกับภาพที่ได้รับแล้ว Check-in ใน Group Chat Facebook
ภารกิจ 2 เลือกอวัยวะที่ไม่ซ้ำกันแล้วถ่ายภาพ
ภารกิจ 3 ประกอบร่างให้เหมือนสิ่งรอบตัว
ภารกิจ 4 พูดคุยกับคนแปลกหน้า
ภารกิจ 5 ถ่ายคลิปสัมภาษณ์พี่ๆ นิสิตจุฬา
ภารกิจ 6 ซื้อของที่สะท้อนความรู้สึกของตนเองในวันนี้

แม้จะมีความท้าทายในเรื่องการระดมทุนสนับสนุน การประสานงาน และการจัดสรรเวลาเพื่อเตรียมงาน แต่ครูโด้ ปฐวี เสวกวรรณ์ และครูอาร์ม สุขพิชัย คณะช่าง ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงรุ่น 2 หนึ่งในทีมงานค่ายได้เล่าให้เราฟังว่า ในฐานะ “ผู้ให้” พวกเขาก็ได้เป็น “ผู้รับ” ไปพร้อมๆ กัน ได้ทั้งท้าทายตัวเองให้ออกนอกคอมฟอร์ตโซน ได้ลองทำงานที่ตนไม่เคยทำหรือไม่ถนัด

ได้พัฒนาทักษะด้านการทำงานร่วมกันและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า รวมทั้งได้เรียนรู้ที่จะมอบหมายงานและไว้วางใจกันและกัน ไม่มีคำว่าอาวุโสหรือรุ่น 2 รุ่น 3 เพราะทุกคนคือทีมเดียวกันที่แสดงความคิดเห็นได้

ครูเอ็ม ธนิต แคล้วโยธา ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง รุ่น 3 เล่ามุมมองจากการทำค่ายในครั้งนี้ว่า

“การทำค่ายด้วยเงินสามหมื่นบาทมันคุ้มค่ามากๆ สามหมื่นบาทไม่ใช่เงินที่มากมาย แต่ผลที่เกิดขึ้น หากฟังจากการสะท้อนของเด็กๆ แล้วจะรู้ว่ามันดีมากๆ มีเด็กคนหนึ่งที่บอกว่า นี่คือครั้งแรกที่เขาได้กินเคเอฟซี ได้ขึ้น MRT เราไม่เคยคิดเลยว่า ค่ายนี้จะเปิดโลกของเด็กคนหนึ่งได้ขนาดนี้ แต่เราได้สร้างโอกาสนั้นจริงๆ มันชัดเจนมากๆ ครับ”

เมื่อสอบถาม ครูมะปราง พุทธชาด ปานรอด ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง รุ่น 2 ถึงอุปสรรคหลักๆ ของกิจกรรมวันนี้ นั่นก็คือเรื่องฝนตกแบบไม่ลืมหูลืมตา ครูมะปรางเล่าว่า เรื่องฝนเป็นเรื่องที่คาดกันไว้แล้ว จึงได้เตรียมเสื้อกันฝนมา แต่สิ่งที่เกิดคาดคือ ไม่คิดว่าฝนจะตกหนักจนเกือบต้องล้มเลิกกิจกรรมที่วางไว้ แต่แล้วอุปสรรคก็กลับกลายเป็นเครื่องกระตุ้นกรอบความคิดแบบเติบโตของเด็กๆ แม้พวกเขาจะรู้ดีว่าอาจจะต้องเปียกฝนเฉอะแฉะ แต่การที่รู้สึกว่าตนมี “ภารกิจ” และ “เป้าหมาย” ทำให้เขาเกิดความมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ และมองอุปสรรคเป็นเพียงความท้าทายหนึ่งเท่านั้น

“ก่อนมาค่ายในวันนี้ มีเด็กคนหนึ่งที่ปกติเขาจะไม่ค่อยกล้าทำอะไร ต่อให้มีเป้าหมายก็อาจจะไม่ทำ แต่วันนี้หลังจากลองถามเขาว่า ถ้าเขาเจอเรื่องอื่นๆ ที่เขากลัว หรือคิดว่าตนเองน่าจะทำไม่ได้ แล้วเขาจะทำไหม เขาตอบมาเต็มเสียงว่า ผมจะลองทำ”

กลุ่มเป้าหมายของ Long Dos 2 คือเด็กนักเรียนจากโรงเรียนขยายโอกาสที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสออกมาเปิดหูเปิดตาและออกค่ายมากนัก ค่ายนี้จึงเป็นการเปิดโลกของเขาให้ได้มาสัมผัสความเป็นจริงทั้งดีและร้าย

“เขาได้มาสัมผัสความแตกต่างและความเหลื่อมล้ำต่างๆ ของชีวิต เรามักจะพูดกันว่า ทุกคนต้องพยายามนะ เพราะ Gap ของเธอมันห่างจากคนส่วนใหญ่อย่างมาก แต่เด็กๆ เขาไม่สามารถมองออกได้ เพราะเขาอยู่ที่เดิม แต่วันนี้เขาออกมาแล้ว เขารู้แล้วว่าทุกคนขึ้นบีทีเอสเป็น แต่เขาขึ้นไม่เป็น เขารู้แล้วว่าทุกคนซื้อของกินนี้ได้ในราคาสองร้อยบาท แต่เขาซื้อไม่ได้ เขารู้แล้วว่าเขายังทำอะไรไม่ได้อีกหลายอย่าง และถ้าเขาอยากได้ เขาจะต้องพัฒนาตนเอง และการศึกษาคือทางออกหนึ่งที่จะทำให้เขามาอยู่ตรงนี้ได้” ครูเอ็มบอกกับเรา

การให้เด็ก ๆ ได้ออกมาสู่บริบทที่ไม่คุ้นเคย ทำให้พวกเขาเกิดความอยากรู้อยากเห็น จนเป็นที่สังเกตว่า ครูแทบจะไม่ต้องตั้งคำถามอะไรเลย แต่เด็กๆ จะผลัดกันตั้งคำถามเอง และด้วยความไม่คุ้นเคยกับสถานที่ ไม่ว่าจะเป็น BTS MRT หรือที่ห้างสรรพสินค้า และมหาวิทยาลัย เด็กๆ จะคอยสังเกตว่าเขาจะต้องทำตัวอย่างไร นั่นคือสาเหตุที่กิจกรรมในวันนี้ ครูได้เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เป็นคนตัดสินใจเอง ทั้งเรื่องการค้นหาเส้นทาง การตั้งคำถามสัมภาษณ์พี่ๆ นิสิตจุฬาฯ การเลือกซื้อของ ฯลฯ เพื่อจุดประกายให้เขารู้สึกว่า “ทำได้” และเกิดความภูมิใจในตัวเอง ก่อเกิดทักษะทั้งด้านการสื่อสาร การแสดงออก การเข้าสังคม และการตกตะกอนทางความคิด

การสานต่อกิจกรรม Long Dos 2

คำถามนี้คงไม่มีใครตอบได้ดีเท่าเด็กๆ และแน่นอนว่าทุกคนตะโกนเป็นเสียงเดียวกันว่า “อยากมาอีก” เพราะสำหรับหลาย ๆ คนแล้ว นี่คือ “ครั้งแรก” ที่ได้พบและทำกิจกรรมกับเพื่อนใหม่จากต่างโรงเรียน ครั้งแรกที่ได้ขึ้น BTS และ MRT ครั้งแรกที่ได้รู้ว่าไก่เคเอฟซีมีรสชาติเป็นอย่างไร ครั้งแรกที่ได้รู้ว่าตนเองอยากเรียนต่อคณะอะไร ครั้งแรกที่รู้ว่า “ความฝัน” เริ่มต้นที่จุดไหน และต้องทำอย่างไรถึงจะไปถึง

“ต่อให้ค่ายนี้รับเด็กได้แค่ 40 คนหรือกี่คนก็ตาม แต่สำหรับเด็กที่ไม่เคยเกิดแรงบันดาลใจกับอะไรเลย เขาคงหนีไม่พ้นที่จะเติบโตเป็นเส้นตรง และภาพมันคงไม่สวยเท่าภาพที่มีเส้นตวัดไปมาอย่างมีชีวิตชีวา การได้ออกค่ายในวันนี้้จึงเป็นการจุดประกายแรงบันดาลใจให้กับเขา” – ทีมงาน Long Dos 2

จะดีแค่ไหนถ้าเด็ก ๆ อีกมากมายได้มี “ครั้งแรก” ของหลายๆ สิ่งที่อาจเป็น “ก้าวแรก” สู่อนาคตอันสดใสของพวกเขา ร่วมจุดประกายให้เด็กๆ กล้าคิดกล้าฝันถึงวันที่ดีกว่า ด้วยการศึกษาคุณภาพและกิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะจำเป็น หากคุณเชื่อในความสำคัญของก้าวแรก และเชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงสร้างได้ด้วยการลงมือทำ เชิญร่วมสนับสนุนให้โครงการดี ๆ ที่ริเริ่มและดำเนินการโดยครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง ทีช ฟอร์ ไทยแลนด์ ได้รับการสานต่ออย่างยั่งยืน

“มีเด็กคนหนึ่งพอเขารู้ว่าเขาจะมาค่าย เขาจะคอยมาถามว่า ‘ครู.. ผมจะได้ไปจริงๆ ใช่ไหม ผมจะได้เห็นอะไรบ้าง’ เขาเคยบอกครูว่า เขาจำไม่ได้แล้วว่า ครั้งสุดท้ายที่เขาเคยไปเที่ยวคือเมื่อไหร่และที่ไหน”

#TeachForThailand #FellowshipProgram #Evolution #LeadershipMovement #Longdo2 #SocialGiver

UPDATE: โครงการที่กองทุน Teach For Thailand กำลังสนับสนุนอยู่ในตอนนี้ (มกราคม 2560)

เกี่ยวกับโครงการ: โครงการ #3 “Long Do ลองดู Camp”

“ปัญหาที่ทางคุณครู Teach for Thailand พบคือ นักเรียนขาดแรงจูงใจในการเรียน ไม่เห็นความสำคัญของการเรียน เกิดจากการไม่มีเป้าหมายในชีวิต และไม่สามารถเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนในห้องเรียนกับเป้าหมายของตัวเองได้

ดังนั้นทางคณะผู้จัดฯ จึงต้องการที่จะทำให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของการตั้งเป้าหมาย เริ่มจากการรู้จักการตั้งเป้าหมายที่ดีเป็นอย่างไร ตามหลักการตั้งเป้าหมายของ (SMART GOAL) และการมีเป้าหมายที่ชัดเจน เพื่อที่จะสร้างแรงจูงใจในการศึกษา นอกจากนี้ Mindset หรือระบบความคิด ก็มีความความสำคัญ เพราะถ้าผู้เรียนมีเป้าหมาย แต่ผู้เรียนขาดระบบความคิดที่ดี เป้าหมายนั้นก็ไม่สามารถสำเร็จลุล่วงได้

Dr. Carol Dweck นักวิจัยและพัฒนาด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดจำแนก ระบบความคิด (mindset) ไว้ 2 ประเภท คือ

(1) บุคคลที่มีกรอบความคิดแบบจำกัด (Fixed Mindset) คือ คิดว่าตนทำไม่ได้ ไม่เก่ง ตำหนิตนเอง โทษคนอื่น โทษตัวปัญหา

(2) คนที่มีกรอบความคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) คือคนที่กล้าคิด กล้าลองถูก-ผิด ไม่กลัวความล้มเหลว และที่สำคัญคือเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตนเพื่อที่จะพัฒนาต่อไป

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Fixed vs. Growth Mindset ที่นี่

จากรายงานผลการทำแบบทดสอบ “ฉันมี Mindset แบบไหน?” พบว่านักเรียนมีทิศทางของคนที่มีลักษณะความคิดแบบ Fixed Mindset ซึ่งทางทีมคุณครู Teach for Thailand เห็นว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการสร้างความเข้าใจ ปรับเปลี่ยน และเสริมสร้างลักษณะความคิดของคนที่มี Growth Mindset ให้กับนักเรียน เพื่อเป็นเครื่องมือที่ทำให้ผู้เรียนสามารถบรรลุเป้าหมายได้

วัตถุประสงค์โครงการ

เพื่อให้นักเรียนสามารถตั้งเป้าหมายเป็นและชัดเจน โดยใช้หลักการ (SMART GOAL)
เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียนในเทอมถัดไป
เพื่อสร้างกระบวนการคิดแบบเติบโตให้เกิดขึ้นกับนักเรียน

กิจกรรมในโครงการ

แบ่งออกเป็น 3 ช่วง ก่อนเข้าค่าย ระหว่างค่าย และหลังจบค่าย

ก่อนเข้าค่าย

ผู้เรียนตั้งเป้าหมายและสิ่งที่อยากจะได้รับจากค่าย
เขียนเรียงความถึงตัวเอง (ภาพที่เขามองตัวเอง)

ระหว่างค่าย มีการจัดกิจกรรมให้นักเรียนโดยมีจุดประสงค์ ดังนี้

เพื่อส่งเสริมความกล้า (ลองผิด ลองถูก)
เพื่อให้เกิดกระบวนการ Growth-mindset
มีการให้ Feedback เพื่อการพัฒนา
เขียนเรียงความถึงตัวเอง (ภาพที่เขามองตัวเอง ในวันสุดท้ายของค่าย)

หลังจบค่าย (ติดตามผลต่อ)

เขียนไดาอารี่ในช่วงปิดเทอม ที่เชื่อมโยงถึงเป้าหมายที่ตั้ง หรือเป้าหมายในแต่ละวัน
โทรติดตามผล พูดคุย
พาไปดูสถานที่จริง เพื่อเป็นการให้รางวัลเชิงบวกในการที่เขาสามารถเขียนไดอารี่ และทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเป้าหมายมากขึ้น
นักเรียนตั้งเป้าหมายเมื่อก่อนเปิดเทอม อีก 1 เทอมเกี่ยวกับการเรียน โดยมีครูที่มาร่วมค่าย ทำการติดตาม กระตุ้น ทำการโค้ช และเก็บข้อมูลความเปลี่ยนแปลงในเชิงพฤติกรรม

เป้าหมายเชิงปริมาณ

นักเรียนในห้องเรียนที่มีครูทีชฟอร์ไทยแลนด์ 15 โรงเรียน โรงเรียนละ 3 คน จำนวน 45 คน
ครูทีชฟอร์ไทยแลนด์ที่เข้าร่วมโครงการค่ายอบรม โรงเรียนละ 1 คน จำนวน 15 คน

เป้าหมายเชิงคุณภาพ

นักเรียนร้อยละ 80 สามารถตั้งเป้าหมายระยะสั้นในการเข้าค่าย 4 วันและระยะยาวในการเรียนได้
นักเรียนร้อยละ 90 เข้าใจแนวคิดของ Growth Mindset โดยสามารถสรุป อธิบาย ยกตัวอย่างได้
นักเรียนร้อยละ 70 สามารถระบุจุดเด่น จุดด้อยของตนเองและบอกเล่ากับผู้อื่นได้

การติดตามและประเมินผล

เกณฑ์ประเมินในหัวข้อการตั้งเป้าหมาย ผ่านตัวชี้วัดหลัก SMART Goal
เกณฑ์ประเมินในหัวข้อ Growth Mindset ผ่านตัวชี้วัด
เก็บข้อมูลผ่านกิจกรรมสะท้อนความคิดกลุ่ม-เดี่ยว
เก็บข้อมูลผ่าน-ไดอารี่ประจำวันในหัวข้อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง,นักเรียนเขียน
เก็บข้อมูลผ่านการเขียนเรียงความถึงตัวเอง ก่อนและหลังจากการเข้าค่าย
การติดตามผลอีก 1 เทอมหลังจบค่าย ใน3หัวข้อ ด้านการเรียน(ผ่านเกรด) ด้านพฤติกรรม ด้านการสร้างผลกระทบ

รายละเอียดงบประมาณรายจ่ายของโครงการ

ค่าใช้จ่าย	จำนวนเงิน
ค่าโรงแรมที่พัก-อาหาร-ฐานกิจกรรม	70,000 บาท
ค่าอุปกรณ์เครื่องเขียนและอื่นที่จำเป็นในค่ายๆ	10,000 บาท
ค่าเดินทาง	5,000 บาท
ค่าอื่น ๆ	5,000 บาท
รวม	90,0000 บาท

ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

นักเรียนสามารถตั้งเป้าหมายเป็นและชัดเจนตามหลักของ SMART GOAL และสามารถทำได้สำเร็จ
นักเรียนมีการเปลี่ยนแปลงด้านความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรม ไปในทางที่เมื่อเจออุปสรรคแล้วไม่ท้อถอยแต่ลองทำดู พยายามได้อีก
นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่ดีขึ้น ในเทอมถัดไป
การเก็บข้อมูลที่หลากหลายในค่ายจะใช้เป็นฐานข้อมูลในการทำกิจกรรมต่อไป หรือเปิดให้ใครมาหยิบไปทำก็ได้

UPDATE: รายงานการสร้างความเปลี่ยนแปลงของโครงการ “Grit to Glitter” (ตุลาคม 2559)

รายละเอียด : โครงการ Grit to Glitter อยากให้นักเรียนได้รับการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง โดยการกระตุ้นให้นักเรียน กล้าคิด กล้าฝัน มั่นใจ มีความอดทน และความพยายาม ในการก้าวผ่านข้อจำกัดต่าง ๆ ของตนเองและสภาพแวดล้อมในสังคม โครงการเน้นการพัฒนาศักยภาพด้านความอดทนพยายามต่อเป้าหมาย(Grit) ของนักเรียน

ผลที่เกิดกับนักเรียน : มีนักเรียนเข้าร่วมโครงการ ๓๑ คน และมีนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ดีขึ้น ๓๑ คน

ผลที่เกิดกับนักเรียน

จากการสำรวจพบว่า นักเรียนโรงเรียนไทยนิยมสงเคราะห์ สำนักงานเขตบางเขนในปัจจุบัน ไม่มี เป้าหมาย ความฝัน และความเชื่อมั่นในตัวเอง โครงการ Grit to Glitter จึงอยากให้นักเรียนได้ รับการพัฒนา ศักยภาพอย่างต่อเนื่อง โดยการกระตุ้นให้นักเรียน กล้าคิด กล้าฝัน มั่นใจ มีความอดทน และความพยายาม ในการก้าวผ่านข้อจำกัดต่าง ๆ ของตนเองและสภาพแวดล้อมในสังคม ผ่านการปลูกฝังจากครูผู้สอนในโครง การ Teach For Thailand ตลอดทั้งปีการศึกษา อีกทั้งโครงการนี้ยัง เป็นการเปิดโลกทัศน์ให้แก่นักเรียน เพื่อให้นักเรียนได้เห็นสิ่งต่าง ๆ นอกเหนือจากบ้าน ชุมชน และโรงเรียน

ครั้งแรกที่เข้ามาสอนมีการแบ่งแยกชัดเจนระหว่างเด็กที่ตั้งใจเรียนและไม่ตั้งใจเรียน พบว่าเด็กที่ไม่ตั้งใจเรียน นั้นเกิดจากข้อจำกัดต่างๆ ของครอบครัว การขาดความรัก ครูต้องพยายามปรับตัวเข้าหานักเรียนมากขึ้นทั้งเด็กที่ตั้งใจเรียนและไม่ได้ตั้งใจเรียน ข้าพเจ้าจึงได้เริ่มโครงการที่เราตั้งขึ้นชื่อว่า Grit To Glitter เนื่องจากทีมครู Teach For Thailand ชิ่งมีครูปฐวี เสวกวรรณ์, ครูคุณาภรณ์ เดชรัตนวิไชย, และครูลามิน วิริยศิริ อยากที่จะสร้างโครงการเพื่อนักเรียน โดยเราเลือก Grit เพราะเชื่อว่า Grit เป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่จะสามารถพาให้นักเรียนประสบความสำเร็จได้ควบคู่กับการมี Academic Achievement (ความรู้ทางด้านวิชาการ) โครงการนี้เริ่มต้นจากที่นักเรียนต้องกรอกใบสมัครซึ่งนักเรียนต้องเขียนด้วยความพยายาม ต่อมานักเรียนจะเข้าสู่กระบวนการคัดเลือก โดยทั้งเทอมนักเรียนจะต้องแสดงความรับผิดชอบ ความเพียรพยายามอย่างไม่ย่อท้อที่จะบรรลุเป้าหมายในระยะยาว ผ่านการสังเกตการณ์โดยคุณครูทั้ง ๓ คน จนถึงช่วงสัมภาษณ์รอบสุดท้ายครูจะเน้นการสัมภาษณ์เกี่ยวกับครอบครัว การรู้จักตนเอง เป้าหมายในอีก ๕ ปีข้างหน้า และสิ่งที่นักเรียนควรมีเพื่อประสบความสำเร็จในชีวิต ตอนนี้โครงการได้ผู้เข้าร่วมโครงการแล้วทั้ง ๓๑ คน ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมในวันที่ ๔-๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นการพานักเรียนออกไปทัศนศึกษาต่อยอดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษนอกห้องเรียน รวมไปถึงการฝึกเป็นผู้เสียสละ เข้าใจผู้อื่นมากขึ้น และการเข้าร่วม Work Shop จากนิสิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อเป็นการสร้างแรงบัลดาลใจในการเรียนรู้ของนักเรียน ทางโครงการเชื่อมั่นว่านักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกจะได้คือ นักเรียนจะเปลี่ยนตัวเองใหม่ จากเด็กที่ไม่ตั้งใจเรียน เด็กที่ไม่ส่งงาน เด็กที่ลอกการบ้านเพื่อน เค้าจะเป็นคนดีคนหนึ่งของสังคมผ่านกระบวนการนี้

ในตลอดการคัดเลือกที่ผ่านมาทางโครงการเห็นการเปลี่ยนหลายอย่างทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน นักเรียนทุกคนมีความขยัน อดทนพยายาม และมีความรับผิดชอบในการเรียน ทุกคนตั้งใจเรียน ขยันส่งงาน และเรียนรู้ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ครูพยายามฝึกให้นักเรียนสร้างเป้าหมายชีวิตของตัวเองผ่านกิจกรรมในห้องเรียน ที่สำคัญได้มองเห็นชีวิตนักเรียน ซึ่งสามารถสัมผัสและจับต้องได้จริง ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตของนักเรียนผ่านข้อจำกัดของแต่ละคน เห็นความจริงอันโหดร้ายในชีวิตนักเรียน อันนี้เฉพาะนักเรียนที่คัดว่ามี ความอดทนพยายามมีเป้าหมายในการเรียนแล้ว เห็นนักเรียนร้องไห้ และได้ยินประโยคที่เจ็บปวดทุกวันเลย นักเรียนเกือบทุกคนครอบครัวแตกแยก แบบฝังลึกในจิตใจมาก บางคนไม่รู้พ่อแม่อยู่ไหน บางคนพ่อแม่ติดคุก บางคนโดนทิ้งให้อยู่กับตายาย บางคนก็ต้องอยู่คนเดียว เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ต้องหาเงินเพื่อมาโรงเรียนเอง โดยเฉพาะเสาร์อาทิตย์ ต้องทำงาน Part-time, โบกธงตามคอนโด และรับจ้างทั่วไป งานหนักแต่ได้เงินน้อย แล้วปัญหาอีกหลายอย่างมากๆ ของแต่ละคนที่ไม่ซ้ำกัน ทางโครงการชื่นชมมากที่นักเรียนมาถึงจุดนี้ได้ด้วยตัวเอง ทางโครงการมีความพยายามที่จะจัดกิจกรรมเพื่อดึงศักยภาพของนักเรียนแต่ละคนออกมาให้ได้มากที่สุด

สรุปผลของโครงการ Grit to Glitter เราพบว่าเด็กนักเรียนทั้ง ๓๑ ที่เข้าร่วมโครงการสามารถดึงศักยภาพของตัวเองออกมาได้อย่างมาก เริ่มตั้งแต่มีความฝันที่ชัดเจนว่านักเรียนอยากจะเรียนต่อสายอะไร รู้แล้วว่าโตขึ้นไปอยากประกอบอาชีพอะไร นักเรียนมีความมุ่งมั่นอดทนต่อเป้าหมาย ตั้งใจเรียน และมีผลการเรียนที่ดีขึ้นเชิงประจักษ์ คือมีเกรดที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เห็นได้ว่านักเรียนทั้ง ๓๑ คนเป็นนักเรียนชั้นแนวหน้าของโรงเรียน ทางโครงการเชื่อว่าสักวันหนึ่งนักเรียนจะสามารถนำความรู้ความสามารถที่ได้เข้าร่วมโครงการนี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดอย่างแน่นอน

ความเปลี่ยนแปลงในระยะสั้น-กลาง

หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมในเทอมที่ผ่านมาพบว่า นักเรียนส่วนใหญ่มีความอดทนพยายามมากขึ้น กล้าแสดงออกในสิ่งที่ถูกต้อง นักเรียนมีความฝัน มีเป้าหมายแล้วว่าอยากจะเรียนต่อด้านไหน และมีผลการเรียนที่ดีขึ้นโดยในเทอมที่ผ่านมานักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมทั้ง 31 คน มีเกรดเฉลี่ยนอยู่ที่ 3.54 ซึ่งถือว่าเป็นผลการเรียนที่ดีมาก (เพิ่มขึ้น 30 %) ตลอดกิจกรรมเราได้ยินคำว่าครั้งแรกจากนักเรียนมารกมาย สิ่งที่เราสร้างขึ้นเป็นสิ่งใหม่ที่นักเรียนไม่เคยได้สัมผัส ไม่ว่าจะเป็นความฝัน เป้าหมายในการเรียน รวมไปถึงการเดินทางไปทัศนศึกษานักเรียนหลายคนขึ้นรถไฟฟ้าครั้งแรก เข้าชมนิทศการวิทยาศาสตร์ครั้งแรก เข้ามหาวิทยาลัยครั้งแรก ได้ทานอาหารญี่ปุ่นครั้งแรก เป็นเหมือนการเปิดโลกใบใหม่สำหรับพวกเค้าที่มากกว่าบ้าน ชุมชน และโรงเรียน

ในเทอมหน้านี้ทางโครงการจะดำเนินกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนานักเรียนกลุ่มนี้ให้เข้าใกล้เป้าหมายของพวกเขายิ่งขึ้น โดยรูปแบบกิจกรรมจะเปลี่ยนไป โดยจะเน้นการพัฒนาภายในห้องเรียนส่วนใหญ่ และในท้ายเทอมจะมีกิจกรรมทัศนศึกษาเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์และความรู้ให้กับนักเรียน โดยจะเน้นจัดกิจกรรมในมหาวิทยาลัยเพื่อสร้างแรงบัลดาลใจในการเรียน เพื่อช่วยให้นักเรียนผ่านข้อจำกัดต่างๆในชีวิต เราอยากจะสร้างผู้นำรุ่นใหม่ที่พร้อมนำความรู้ความสามารถของตนเองมาใช้เพื่อพัฒนาสังคมและประเทศชาติอย่างเต็มกำลังในอนาคต

REFLECTION จากนักเรียน

รู้สึกประทับใจที่ได้เรียนรู้แนวทางการศึกษาต่อวางแผนชีวิตตัวเองได้ พี่ๆ แต่ละคนน่ารักมากถามอะไรหรือสงสัยอะไรตรงไหนพี่ๆ ช่วยแนะแนวทางให้อย่างเข้าใจมากๆ สามารถนำไปต่อยอดและบอกเพื่อนเพื่อนว่าเราไปทำอะไรมาบ้าง เพื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนอีกมากมาย – เด็กหญิงปภาวรินทร์ ขวัญกล้า

ได้เข้าใจการเดินทางในเมือง เข้าใจความรู้สึกของคนพิการทางสายตา และได้เข้าใจวิถีชีวิตมากขึ้นว่าเราจะเลือกทางของตัวเองอย่างไร เริ่มเห็นความฝันของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตหนูเริ่มมีความรู้สึกว่ามันตื่นเต้น หนูจะตั้งใจเรียนเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ และหางานทำที่ดี หนุเริ่มที่จะมีความกล้าแสดงออกมากขึ้นเรื่อยๆ ขอบคุณมากนะคะ – เด็กหญิงนัฐพร สุขประเสริฐ

ได้รู้ว่าสังคมภายนอกเป็นอย่างไร ได้นั่งรถไฟฟ้าประหยัดเวลาถึงคนเยอะก็ตามแต่คนส่วนใหญ่ก็จะเลือกที่จะประหยัดเวลามากกว่า ได้ความรู้กับพวกพี่ๆ นักเรียนศึกษาจากที่ไม่เคยรู้ก็ได้รู้ ได้รู้เกี่ยวกับคนตาบอดว่ามันลำบากมากกับการไปที่ต่างๆ ขอบคุณที่ทำให้หนูมีกำลังใจในการเรียนต่อโดยไม่ท้อ – เด็กหญิงชฏารัตน์ พวงพันสาย

ได้เรียนรู้จากศูนย์วิทยาศาสตร์ อพวช. ว่ายุงแต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน ไข่ยุงแต่ละชนิดมีลักษณะต่างกันอย่างไร ได้รู้วิธีการทดลอง เรียนรู้เกี่ยวกับทวีปแอฟริกา ทำให้รู้จักคำคำหนึ่งว่า เรียนรู้วันนี้เพื่อประสบความสำเร็จในภายภาคหน้า ตอนบ่ายทำกิจกรรมได้รู้ว่าแต่ละคณะในมหาวิทยาลัยทำอะไรบ้าง ตอนเข้าห้องมืดก็เข้าใจสภาวะของคนตาบอดจริงๆ ขอบคุณที่คอยสอนหนูนะคะ – เด็กหญิงวิลาวัณย์ อินผ่อง

การที่หนูได้เข้าร่วมโครงการนี้ หนูดีใจไม่เคยได้ขึ้นรถไฟฟ้าเลยนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของหนูที่มีโอกาสแบบนี้ ขอบคุณพี่ๆ ที่คอยให้ความรู้อย่างมากมายค่ะ หนุได้เรียนรู้ว่าคนตาบอดใช้ชีวิตที่ลำบากมาก หนูรู้ว่าเค้ามองไม่เห็นแต่เค้ามีทักษะการสัมผัส และดมกลิ่นดีมากๆ ตอนนั้นหนูรู้สึกสงสารเค้ามาก ช่วงบ่ายพี่ๆ พาเล่าเรื่องแรงบัลดาลใจที่พวกพี่เค้ามาถึงหมายในการเรียนได้ หนุจะพยายามปรับปรุงตัวเองตามที่พวกพี่ให้คำแนะนำค่ะ – เด็กหญิงเมธานี มานะชีวะกุล

สิ่งที่ได้เรียนรู้คือได้เข้าไปสัมผัสโลกของคนตาบอด เข้าใจว่าถ้าเราตาบอดเราจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไร จะดำเนินชีวิตอย่างไร ถึงแม้ว่าคนตาบอดจะมองไม่เห็นแต่เขาก็มีสิทธิ์ได้รับความเท่าเทียมทางสังคมเข้าสามรถทำอะไรบางอย่างได้เหมือนคนปกติ ประทับใจพี่นิสิตจุฬาที่ฝึกให้หนูมีการคิดวิเคราะห์ และให้แนวทางในการเลือกเรียน และแนะนำคณะต่างๆ บอกเล่าประสบการณ์และแรงบัลดาลใจ หนูจะนำเอาคำปรึกษาของพี่ๆ เป็นแรงบัลดาลใจในการทำเป้าหมายที่เราตั้งไว้ให้สำเร็จ – เด็กหญิงรัชดาพร แสงกล้า

ขอบคุณพี่ทุกคนที่สร้างความสุขให้กับพวกเราและทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น ทำให้หนูเข้าใจอะไรตั้งมากมายทั้งการตั้งเป้าหมายในชีวิต การใส่ใจ และการเข้าใจผู้อื่น หนุได้เรียนรู้ว่าการที่เราจะเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ มันไม่ใช้เรื่องง่ายเลย กว่าจะเข้าได้เราต้องอ่านหนังสือเป็นเล่มๆ และการตั้งเป้าหมายในชีวิตให้แน่นอน – เด็กหญิงแสงเดือน จันทร์เรือง

ได้เรียนรู้การทำกิจกรรมร่วมกับน้องๆ โรงเรียนเดียวกันแม้จะไม่รู้จักกันมาก่อนแต่สามารถมาทำงานร่วมกันได้ หนุจะพยายามพัฒนาตนเองในวันข้างหน้า รู้จักแก้ไขปัญหา ไม่ท้อกับสิ่งที่เร้าคิดว่าทำไม่ได้ ความฝันของหนูคืออยากเป็นหมอ หนูอยากช่วยเหลือคน ทุกคำที่พี่สอนหนูจะจำไว้ และเป็นแรงบัลดาลใจในอนาคต – เด็กหญิงรุ่งอรุณ แมนสืบชาติ

ตอนที่ขึ้น MRT และ BTS ทำให้รู้ว่าต้องทำตามกฎ ควรเป็นระเบียบ เมื่อถึง อพวช. ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทดลองเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์มากขึ้น ได้ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ยังได้เรียนรู้กับบทเรียนแห่งความมืด พอเข้าไปแล้วเจอความมืดที่มืดสนิทเลย ตัวหนูเลยคิดว่าถ้าวันหนึ่งเราตื่นขึ้นมาพร้อมกับความมืดที่มองไม่เห็นอะไรจะทำอย่างไร หนูคิดต่อว่าทำไมพี่ไกด์ทำอะไรได้หลายอย่างเหมือนคนทั่วไป ทำให้หนุเข้าใจอะไรมากขึ้น ส่วนตอนที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ในมหาวิทยาลัยจุฬา ทำให้หนุได้บรรลุเป้าหมายว่าหนุอยากจะเป็นอะไร ทำให้หนูมีแรงบัลดาลใจมากขึ้น ได้เข้าใจชีวิตการเรียนมหาวิทยาลัยมากขึ้น สุดท้ายแล้วต้องขอบคุณโอกาสในครั้งนี้ค่ะ – เด็กหญิงปาณิศรา นาคขำ

UPDATE:

โครงการ Grit to Glitter อยากให้นักเรียนได้รับการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง โดยการกระตุ้นให้นักเรียน กล้าคิด กล้าฝัน มั่นใจ มีความอดทน และความพยายาม ในการก้าวผ่านข้อจำกัดต่าง ๆ ของตนเองและสภาพแวดล้อมในสังคม

เกี่ยวกับโครงการ #2 “Grit to Glitter”

จากการสำรวจพบว่า นักเรียนโรงเรียนไทยนิยมสงเคราะห์ สำนักงานเขตบางเขนใน (จังหวัดกรุงเทพฯ) ปัจจุบัน ไม่มี เป้าหมาย ความฝัน และความเชื่อมั่นในตัวเอง

ดังนั้นทางโครงการ Grit to Glitter จึงต้องการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อระบบการศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาสใน กทม.

เนื่องจากนักเรียนส่วนใหญ่ มากชุมชนรอบโรงเรียนซึ่งเป็นชุมชนที่มีรายได้น้อย พ่อแม่ของนักเรียนส่วนใหญ่มีรายได้น้อย ครอบครัวแตกแยกส่งผลให้นักเรียนมีผลการเรียนต่ำกว่ามาตรฐาน (ตัวอย่าง นักเรียน ม.1 ยังไม่สามารถบวกเลขเดิน 3 หลักได้ หรือยังไม่สามารถบวกลบคูณหารได้)

รายละเอียดโครงการ

เริ่มต้นโครงการมาจากแนวคิดที่ว่าเราเป็นครูในโครงการ Teach For Thailand ถ้าจะเป็นเพียงแค่ครูที่ดีในห้องเรียนอย่างเดียวคงไม่พอ พวกเราจึงอยากที่จะสร้างโครงการขึ้น เพื่อให้รางวัลเด็กนักเรียนที่มีความอดทนพยายาม มีความใฝ่รู้ แต่ยังขาดโอกาสอยู่

โครงการนี้ไม่ใช่แค่โครงการพาเด็กไปทัศนศึกษาอย่างเดียว เพราะในขั้นตอนการรับสมัคร นักเรียนต้องผ่านใบสมัครที่ค่อนข้างใช้ทักษะในการคิดเชิงบวกค่อนข้างมาก อีกทั้งนักเรียนทุกคนต้องอยู่ในกระบวนการคัดเลือกทั้งเทอม เพื่อที่คณะกรรมการจะดู Grit (ความอดทนพยายามต่อเป้าหมาย) ของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง เพราะเราถือว่าเป็นทักษะที่สำคัญมากในการเรียน การทำงาน หรือการใช้ชีวิตในปัจจุบัน และเป็นสิ่งที่ครูทั้ง 3 คนช่วยกันสร้างให้กับนักเรียนในทุกครั้งที่เราสอนทั้งในและนอกห้องเรียน จะเห็นเลยว่านักเรียนของเราต้องมีความพยายามมากตลอดทั้งเทอม ตัวเลขผู้ผ่านโครงการ 30 คน แต่ถ้าลองคิดดูดีๆ ทางเราเชื่อว่านักเรียนที่ได้ประโยชน์จากโครงการนี้คือนักเรียนทุกคน พวกเราเราเชื่อมั่นว่าคนที่ผ่านการคัดเลือกและไม่ผ่านการคัดเลือก สิ่งที่นักเรียนจะได้คือ เค้าจะเปลี่ยนตัวเองใหม่ จากเด็กที่ไม่ตั้งใจเรียน เด็กที่ไม่ส่งงาน เด็กที่ลอกการบ้านเพื่อน เค้าจะเป็นคนดีคนหนึ่งของสังคมผ่านกระบวนการนี้

ขณะนี้เริ่มประกาศรับสมัครโครงการแล้ว นักเรียนส่วนใหญ่สนใจมากๆ อยากเข้าร่วมโครงการนี้มาก เราเห็นว่าพวกเค้าตั้งใจเรียนขึ้น ส่งงานตรงต่อเวลา ทำการบ้านได้ด้วยตัวเอง สิ่งนี้คือจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงของนักเรียนหลายร้อยชีวิตของนักเรียน

ทัศนศึกษาที่เราจะไปคือ

ทัศนศึกษาที่องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) จามจุรีสแคว์
เข้าชมนิทรรศการ Dialogue in the Dark
เข้าร่วม Work Shop กับนิสิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ชมภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ

วัตถุประสงค์หลักของโครงการ “Grit to Glitter”

1.เพื่อเป็นรางวัลให้กับนักเรียนที่มีความพยายามในการตั้งใจเล่าเรียนศึกษาความรู้ทางด้านวิชา การ (Academic Achievement), มีทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็นในการใช้ชีวิต (Essential Skills) และมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (Character Strength)

เพื่อให้นักเรียนเห็นสิ่งใหม่ ๆ นอกจากบ้าน ชุมชน และโรงเรียน
เพื่อกระตุ้นความอดทนและพยายามเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่ตัวนักเรียนตั้งไว้

เงินบริจาคของคุณจะไปช่วยในส่วน:

ทุกบาทของเงินบริจาคของคุณจะนำไปสนับสนุนน้องๆดังต่อไปนี้

เงินบริจาค 10,000 บาท สามารถให้เด็กเข้าร่วมโครงการได้ 30 คนในการเข้าร่วม One-Day Trip ของโครงการ Grit to Glitter

จำนวน	รายการ	หน่วยละ (บาท)	รวม (บาท)
36 คน	1. ค่าเข้าชมนิทรรศการวิทยาศาสตร์ (อพวช.)	–	–
36 คน	2. ค่าเข้าชม Dialogue in the Dark	50	1,800
36 คน	3. ค่าอาหารกลางวัน	100	3,600
6 ชุด	4. ค่าอุปกรณ์	200	1,200
36 คน	5. ค่าตั๋วชมภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ	140	5,040
36 คน	6. ค่าเดินทาง (BTS,MRT)	120	4,320
		รวม	15,760

***********************

ก่อนหน้านี้ Socialgiver ได้ระดมทุน 23,300 บาทให้กับโครงการ #1 “Finding your voice through lens” ซึ่งเป็นโครงการแรกที่ริเริ่มโดยครูภายใต้มูลนิธิ Teach For Thailand. คุณสามารถอ่านเกี่ยวกับโครงการและการสร้างความเปลี่ยนแปลงของโครงการนี้ได้ที่นี่ค่ะ

UPDATE: บรรยากาศห้องเรียนของคุณครูนัท เจ้าของโครงการ “Finding Your Voice Through Lens”

เห็นเลยว่าการเรียนไม่จำเป็นต้องน่าเบื่อเนอะ 😀

UPDATE: งานคนไทยขอมือหน่อย #3 ที่ Central World (14-17 มกราคม 2016)

ครูนัทและครูทิพย์ จากโครงการ “Finding Your Voice Through Lens” ภายใต้ Teach 4 Thailand ร่วมกับ Socialgiver ที่โซน “มาเที่ยว” ที่ Central World.

เกี่ยวกับโครงการ “Find your voice through lens”
เมื่อนายณัฐ พัฒนศิลป์ ได้เข้าไปเป็นครูของมูลนิธิ Teach for Thailand ที่ชุมช วัดสุทธาราม และชุมชนคลองสาน เขาได้สังเกตุเห็นว่า เราอยู่ในยุคที่ผู้คนสนใจแต่ปัญหาของตัวเอง จนลืมมองไปถึงปัญหาหรือเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคม เห็นตัวอย่างได้จากนักเรียน เช่น ในวันที่ขยะหล่นอยู่กลางสนามฟุตบอล ทุกคนเดินผ่านไปโดยไม่มีใครเห็นว่ามันเป็นปัญหา แต่เมื่อขยะอยู่ใต้โต๊ะตัวเองทุกคนพยายามจัดการกับขยะนั้นๆ มันเหมือนกับว่าถ้าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตัวเองเขาก็คงไม่ลุกขึ้นมาแก้ไขมัน ดังนั้นเราจะทำอย่างไรเพื่อให้เขาเกิดจิตสำนึกที่ว่าปัญหาทุกอย่างไม่ว่าจะใกล้หรือไกลล้วนส่งผลถึงตัวเขา และเขาสามารถมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหานั้นได้

สิ่งที่สำคัญคือเราจะออกแบบโครงการอย่างไรทีเป็นไปตามความต้องการของเด็กโดยที่ “ครู” ไม่ได้เป็นผู้ออกแบบทุกอย่างให้เด็กทำ เราจึงคิดโครงการนี้ขึ้นมาเพื่อให้เด็กมีส่วนร่วมมากที่สุด

วิธีการช่วยเหลือ
วัตถุประสงค์ การก่อตั้งโครงการ :

ให้เด็กเกิดความรู้สึก เกิดจิตสำนึก ที่อยากจะช่วยเหลือสังคม หรือสามารถทำโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีคนบอก ไม่มองข้ามปัญหา อาจเรียกได้ว่า เป็นกระบวนการสร้างความรู้สึกการมีส่วนร่วมในสังคม
เพื่อให้เด็กรู้จักใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เราจึงเลือกใช้กล้องฟิล์ม เพื่อเรียนรู้การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ให้คุ้มค่ามากที่สุด
เพื่อพัฒนาปัญหาในชุมชนจากมุมมองของนักเรียน

รูปแบบการดำเนินงาน
1.การวิเคราะห์จากภาพ ข่าว เพื่อให้นักเรียนรู้จักที่จะมองปัญหาจากสภาพสังคมปัจจุบัน รู้ทันโลก ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง และเริ่มตระหนักว่าปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมล้วนมีผลกระทบถึงตัวเรา อีกทั้งช่วยให้เด็กเรียนรู้การใช้ภาษาในระดับทางการ ซึ่งการใช้ภาษาไทยเป็นอีกหนึ่งปัญหาของเด็กในโรงเรียนขยายโอกาสที่ควรได้รับการแก้ไข
2.ลงชุมชน สำรวจ ถ่ายภาพ พื้นที่ ที่คิดว่าเป็นปัญหา โดยเน้นพื้นที่ในชุมชนของตนเอง ระหว่างทางที่เดินกลับบ้าน ทุกๆวันที่เราเคยเดินผ่าน มันมีอะไรบ้างที่เราเคยมองข้ามมันไป ซึ่งแท้จริงแล้วต้องได้รับการแก้ไข และเด็กนักเรียนจะต้องเป็นผู้ค้นหามัน
3.สัมภาษณ์ชาวบ้าน พูดคุย แลกเปลี่ยนความรู้ เพื่อให้เราเข้าใจถึงปัญหาที่แท้จริงมากยิ่งขึ้น และเพราะการที่ทำให้สังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา สร้างผลกระทบสู่ชุมชน และสร้างความกล้าคิด กล้าถาม ให้แก่เด็กนักเรียน สร้างความรู้สึกเห็นแกเห็นใจซึ่งกันและกัน เป็นการเรียนรู้ที่จะเกิดขึ้นในตัวเขา จากบุคคลรอบข้างในสังคม รวมไปถึงสอนให้เคารพผู้อื่น
4.ออกแบบการแก้ปัญหา หลังจากเรามีข้อมูล มีภาพ จะให้นักเรียนรวมกลุ่มกัน เพื่อวิเคราะห์ถึงสภาพของปัญหา ปัญหาใดที่ควรได้รับการแก้ไข โดยนักเรียนทั้งหมดจะเลือกตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะทำอย่างไร
5.ลงพื้นที่อีกครั้ง เพื่อแก้ไขปัญหา (ในขั้นตอนนี้ นักเรียนจะสร้าง Campaign เพื่อให้คนในชุมชนเข้ามาร่วม แก้ไขปัญหา)
6.มีการแจก Post Card ที่เป็นภาพเปรียบเทียบระหว่าง Before &After ว่าปัญหานั้นสามารถแก้ไขได้ พร้อมทั้งคำคมเล็กๆที่เป็นการกระตุ้นให้ทุกคนตระหนักถึงปัญหา
7.การจัดนิทรรศการในโรงเรียน โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นการสานสัมพันธ์กับชุมชนโดยรอบให้หันมามอง ปัญหามากขึ้น และทำให้นักเรียนคนอื่นที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการสามารถมีส่วนร่วมได้ นอกจากนักเรียนที่เป็นเจ้าของภาพถ่ายจะรู้สึกถึงการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นของตน ไปในเวลาเดียวกัน

เงินบริจาคของคุณจะถูกนำไปช่วยในส่วนของ

ค่าอุปกรณ์กล้องใช้แล้วทิ้งFujifilm Simple Ace 400 รุ่น 39 รูป จำนวน 10 ตัว ตัวละ 319 บาท รวมเป็นเงินทั้งหมด 3,190 บาท
ค่าโปสการ์ด จำนวน 50 ใบ ใบละ 5 บาท รวมเป็นเงิน 250 บาท
ค่าอุปกรณ์การจัดนิทรรศการ 2,000 บาท
ค่าเบี้ยเลี้ยง 500 บาท
ค่าเครื่องพิมพ์ Fuji-film Instax Share Smartphone Printer 5,500 บาท
ค่าฟิลม์ Instax Mini Film 5 กล่อง กล่องละ 250 บาท รวมเป็นเงิน 1,250 บาท

UPDATE: Teach For Thailand Fellows: เขามาจากไหน เขาคือใคร และเขาทำอะไรอยู่

UPDATE: ทำไมถึงควรสอนเพื่อประเทศไทย